วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ปัสสาวะอย่างไรให้ถูกวิธี (ผู้หญิง)

หลายคนอาจจะสงสัยว่าการขับถ่ายปัสสาวะทำไมถึงต้องมาเรียนรู้เพราะว่าทุกคนก็ขับถ่ายมาตั้งแต่เกิด จริงๆ แล้วปัสสาวะสามารถแสดงถึงความผิดปกติของร่างกายที่สำคัญ ดังนั้นในวันนี้เรามาเรียนรู้การขับถ่ายปัสสาวะอย่างถูกวิธีกันเถอะ



    1. อย่ากลั้นปัสสาวะโดยเด็ดขาด เมื่อรู้สึกปวดต้องไปปัสสาวะทันที

    2. เวลาปัสสาวะไม่ควรรีบร้อนเบ่งมาก เพราะอาจทำให้หูรูดชำรุดได้

    3. ควรถ่ายปัสสาวะให้หมดหรือให้เหลือน้อยที่สุดคือ
เมื่อรู้สึกถ่ายหมดแล้วให้เบ่งต่ออีกนิดหน่อย ปัสสาวะที่เหลือจะไหลออกมา

    4. ไม่ควรบังคับให้ตนเองถ่ายปัสสาวะบ่อย เพราะจะติดเป็นนิสัยหรือจะรู้สึกว่าปวดปัสสาวะตลอดเวลา ช่วงเวลาที่เหมาะสมคือประมาณ 2-4 ชั่วโมงควรถ่ายปัสสาวะหนึ่งครั้ง

    5. ให้สังเกตการถ่ายปัสสาวะและน้ำปัสสาวะของตนเองทุกครั้ง เช่น ต้องเบ่งมากผิดปกติหรือไม่ น้ำปัสสาวะพุ่งดีหรือไม่ น้ำปัสสาวะมีสีเช่นไร เป็นต้น เพราะสิ่งเหล่านี้อาจเป็นอาการผิดปกติที่สามารถบ่งบอกความผิดปกติของร่างกายได้

    6. หลังปัสสาวะควรใช้กระดาษชำระซับอวัยวะเพศให้แห้งทุกครั้ง หรืออาจจะล้างทำความสะอาดได้ แต่อย่าให้เปียกชื้น เพราะอาจเกิดเชื้อราได้
    7. ถ้าปัสสาวะไม่ออก ต้องไปพบแพทย์ อย่าซื้อยารับประทานเพราะจะเกิดอันตรายได้

    8. การบริหารอุ้งเชิงกรานโดยการขมิบ (ฝ่ายหญิงขมิบช่องคลอด ฝ่ายชายขมิบทวารหนัก) วันละ 100 ครั้ง จะช่วยป้องกันอาการปัสสาวะเล็ด

    9. ควรดื่มน้ำสะอาด อย่างน้อยวันละ 10 แก้ว หรือหนึ่งลิตร จะช่วยให้น้ำปัสสาวะใส มีจำนวนพอดีและป้องกันภาวะปัสสาวะอักเสบ

    10. ก่อนและหลังมีเพศสัมพันธ์ ผู้หญิงควรถ่ายปัสสาวะทิ้งจะช่วยป้องกันการเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

    11. น้ำปัสสาวะจะต้องเป็นน้ำเท่านั้น ไม่ควรมีสิ่งอื่นเจือปน เช่น มูก หนอง น้ำเหลือง หรือเลือดถ้ามีถือว่าผิดปกติต้องไปพบแพทย์ทันที

    12. การขับถ่ายปัสสาวะ ต้องไม่มีอาการเจ็บปวด ถ้าปัสสาวะแสบขัดลำบากต้องไปพบแพทย์ทันที

    13. เราทุกคนควรต้องปัสสาวะอย่างน้อยวันละ 4-6 ครั้ง ถ้าไม่ปัสสาวะใน 1 วัน ถือว่าตกอยู่ในภาวะอันตราย ต้องไปพบแพทย์โดยด่วน



        ลองพิจารณาดูว่าตนเองมีพฤติกรรมการขับถ่ายปัสสาวะเช่นไร และปรับให้เหมาะสมเพื่อสุขภาพที่ดีของเราค่ะ


วันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ป้องกันอย่างไรห่างไกลไข้เลือดออก

จนกระทั่งทุกวันนี้ยังไม่มียาที่ใช้รักษาไข้เลือดออกหรือวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก    ดังนั้นการป้องกันจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดโดยป้องกันการแพร่ของยุง เท่าที่ผ่านมาการควบคุมยังได้ผลไม่ดีเนื่องจากเน้นเรื่องการทำลายยุงซึ่งสิ้นเปลืองงบประมาณ   และการควบคุมยุงต้องทำเป็นบริเวณกว้าง  การควบคุมที่จะให้ผลยั่งยืนควรจะเน้นที่การควบคุมลูกน้ำ     การควบคุมสามารถร่วมกับหน่วยงานราชการอื่น    องค์กรเอกชน   ท้องถิ่น   ดังนั้นการควบคุมที่ดีต้องบูรณาการเอาหน่วยงานที่มีอยู่และวิธีการต่าง ๆ มาใช้    ดังนี้



การควบคุมสิ่งแวดล้อม  เป็นการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมเพื่อไม่ให้ยุงมีการขยายพันธุ์
    
-  แทงค์ บ่อ กะละมัง ที่เก็บกักน้ำจะเป็นแหล่งที่ยุงออกไข่และกลายเป็นยุงตัวใหม่เพิ่มขึ้น จึงต้องมี

ฝาปิดและหมั่นตรวจสอบว่ามีลูกน้ำหรือไม่

-  ให้ตรวจรอยรั่วของท่อน้ำ แทงค์น้ำ หรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวกับน้ำว่ารั่วหรือไม่ โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝน

-  ตรวจสอบแจกัน ถ้วยรองขาตู้(ต้องเปลี่ยนน้ำทุกสัปดาห์) สำหรับแจกันอาจจะใส่ทรายผสมลง

ไป   ส่วนถ้วยรองขาตู้ให้ใส่เกลือเพื่อป้องกันการเกิดลูกน้ำ

-  หมั่นตรวจสอบถาดรองน้ำจากตู้เย็น(ถ้ามี)หรือเครื่องปรับอากาศ เพราะเป็นที่แพร่พันธุ์ของยุงโดย

เฉพาะถาดระบายน้ำของเครื่องปรับอากาศซึ่งออกแบบไม่ดีโดยรูระบายน้ำอยู่เหนือก้นถาดหลาย

เซนติเมตรทำให้มีน้ำขังจึงเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง

-  ตรวจรอบ ๆ บ้านว่ามีแหล่งน้ำขังหรือไม่ รางระบายน้ำจากหลังคามีแอ่งขังน้ำหรือไม่ หากมีต้อง

จัดการขวด กระป๋องหรือภาชนะอื่นที่อาจจะเก็บขังน้ำหากไม่ใช้ให้ใส่ถุงหรือฝังดิน เพื่อไม่ให้น้ำ

ขังยางเก่าที่ไม่ใช้ ก็เป็นแหล่งขังน้ำได้เช่นกัน หากใครมีรั้วไม้หรือต้นไม้ที่มีรูกลวงให้นำคอนกรีต

เทใส่ปิดรู ต้นไผ่ต้องตัดตรงข้อและให้เทคอนกรีตปิดแอ่งน้ำ

  การป้องกันส่วนบุคคล 

-  ใส่เสื้อผ้าที่หนาพอสมควร  ควรจะใส่เสื้อแขนยาวและกางเกงขายาว  เด็กนักเรียนหญิงก็ควรใส่

กางเกง   การใช้กลิ่นกันยุง    เช่น    ตะไคร้หรือสารเคมีอื่น ๆ    นอนในมุ้งหรือในห้องที่มีมุ้งลวด

  การควบคุมยุงโดยทางชีวะ 

-  เลี้ยงปลาในอ่างที่ปลูกต้นไม้หรือแหล่งน้ำตามธรรมชาติ

-  การใช้เครื่องมือดักจับลูกน้ำ

  การใช้สารเคมีในการควบคุม 

-  การใช้ยาฆ่าลูกน้ำ โดยการใส่ทรายที่มีสารเคมีนี้ตามอัตราส่วนที่กำหนดซึ่งไม่มีอันตรายต่อคน 

แต่วิธีการนี้จะสิ้นเปลืองและไม่เหมาะที่จะใช้อย่างต่อเนื่องจึงเหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีการระบาด 


-  การใช้สารเคมีพ่นตามบ้านเพื่อฆ่ายุง วิธีนี้ไม่ได้ลดจำนวนประชากรของยุงแต่จะมีประโยชน์

ในกรณีที่มีการระบาดของโรคไข้เลือดออก


วันเสาร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

การดูแลสุขภาพ ให้ห่างไกลสิวฮอร์โมน

"สิว" ยังคงเป็นปัญหาผิวหนังหลักๆของสาวๆหนุ่มๆ มาตั้งแต่วัยรุ่น บางคนถึงวัยกลางคนแล้วแต่ก็ยังมีปัญหาสิวอยู่นั้น ปัญหาสุขภาพผิวพรรณสิ่งนี้เรียกได้ว่า สิวฮอร์โมน วันนี้เรามีวิธีการรักษาสิวฮอร์โมน อยู่ถูกวิธีมาฝากกันค่ะ


สิวสาว คงพอเข้าใจ สิวเป็นเรื่องธรรมชาติพอรับได้ แต่ทำไมเจ้าสิวนี้ไม่หายไปสักที ขนาดบ้างคนขึ้นวัยกลางคน ยังมีสิวได้ ไม่ว่าจะเป็นวัยใดหากคุณมีสิวนั้นให้สันนิฐานได้ว่า ส่วนใหญ่เป็นปัญหาในเรื่องของฮอร์โมนไม่สมดุล จึงเกิดปัญหาสุขภาพและผิวพรรณขึ้นได้ เราลองมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหา สิวฮอร์โมน กันดีกว่าเพื่อหาวิธีการรักษา สิวฮอร์โมน ที่ถูกต้อง กันค่ะ
 
สิวฮอร์โมน เกิดจากอะไร ?
 
    สิวฮอร์โมน  ก็คือ ฮอร์โมนเพศชายเด่นเกิน ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง หรือผู้ชายก็สามารถเป็นได้ ข้อสังเกตุได้ว่าคุณมีฮอร์โมนมากไปหรือเปล่า  มักมากันเป็นแพคเกจคือ อ้วน หน้ามัน ผมมัน ผมบาง สิวขึ้นโดยเฉพาะช่วงขากรรไกร อาจสัมพันธ์หรือไม่สัมพันธ์กับรอบเดือนก็ได้ แต่ที่สำคัญคือรอบเดือนมักไม่ปกติ อาจตรวจเจอซิสต์ในรังไข่ได้ 
    ฮอร์โมนเพศหญิงสองตัวไม่สมดุลกัน ปกติแล้วผู้หญิงเราจะมีฮอร์โมนผุ้หญิงหลักอยู่สองประเภท คือ เอสโตรเจน และโปรเจสเตอโรน  สิวฮอร์โมน ก็คือปัญหาที่เกิดขึ้นในร่างกายของผู้หญิงหลายคนคือ เจ้าฮอร์โมนเอสโตรเจนชอบที่จะแย่งเด่นเกินหน้าเกินตาโปรเจสเตอโรน ส่งผลให้ผู้หญิงหลายคนมีอาการPMS คือ หงุดหงิด งุ่นง่าน ฉุนเฉียว แน่นหน้าอก บวม กินจุ ซึมเศร้า และสิวระเบิดระเบ้อในช่วงก่อนมีรอบเดือน

 ลองดูสาเหตุกันแล้ว คุณอยู่ในภาวะเสี่ยง สิวฮอร์โมน หรือเปล่าค่ะ  เข้ากับประเภทหนึ่งหรือสอง สำหรับแนวทางการรักษาสิวทั้งสองประเภทในแบบที่คุณก็สามารถจัดการมันได้ดังนี้ค่ะ
 
วิธีการจัดการ ดูแลรักษา สิวฮอร์โมน 
 
    ลดน้ำหนัก อันนี้เป็นข้อสำคัญที่ห้ามพลาด เพราะการกำจัดไขมันส่วนเกินออกจากร่างกายได้ จะช่วยนำความสมดุลและสงบสุขที่แท้จริงของฮอร์โมนกลับคืนสู่ร่างกายของคุณ ช่วยทั้งแก้ไขในผู้ที่มีภาวะPCOS และช่วยแก้ปัญหาฮอร์โมนเพศหญิงไม่สมดุลได้
    ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การออกกำลังเป็นอีกวิธีที่ช่วยฟื้นคืนสมดุลให้กับฮอร์โมนได้
    ลดการรับประทานอาหารหวานๆ หรือให้เฉพาะเจาะจงกว่านั้นคือ อาหารที่ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นเร็วนี้ จะกระตุ้นการหลั่งของฮอร์โมนอินซูลิน ทำให้ภาวะดื้ออินซูลินในผู้ที่มี PCOSแย่ลง ก่อให้เกิดการอักเสบในร่างกายมากขึ้น
    ลดการรับประทานอาหารที่อาจมีฮอร์โมนปะปน เช่น นมวัว เนื้อสัตว์ หลายการศึกษาพบว่า ผู้ที่รับประทานอาหารแบบมังสวิรัติ มีภาวะฮอร์โมนไม่สมดุลน้อยกว่าผู้ที่รับประทานเนื้อสัตว์ พยายามเลือกอาหารที่ ผ่านขั้นตอนการผลิตถูกหลัก ไม่มีการใช้ฮอร์โมนเจือปน
    เลี่ยงอาหารที่ปนเปื้อนยาฆ่าแมลง เพราะยาฆ่าแมลงเป็นสารในกลุ่ม ซีโนเอสโตรเจน (xenoestrogen) คือสารที่มีโครงสร้างคล้ายฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจน ส่งผลให้ภาวะไม่สมดุลของฮอร์โมนอลหม่านมากไปกว่าที่เป็นอยู่

นอกจากการดูแลรักษาด้วยตนเองแล้ว อาจลองปรึกษาแพทย์ถึงทางเลือกการรักษาโดยใช้ยาหรืออาหารเสริม ซึ่งมีหลายกลุ่มให้เลือกใช้ ต่างกันไปตามลักษณะความผิดปกติของฮอร์โมน เห็นไหมค่ะ ทุกปัญหาสิว ก็มีทางออกเสมอ ก็คิดซะว่าเรื่องสิวเป็นเรื่องธรรมชาติจริงๆ

4 เทคนิค สร้างลูกฉลาดตั้งแต่ในครรภ์

คุณแม่ทุกท่านย่อมต้องการให้ลูกที่เกิดมาเป็นเด็กฉลาดทั้งทางสติปัญญาและอารมณ์ ถึงแม้ว่าเรื่องของกรรมพันธุ์จะเป็นปัจจัยหนึ่งต่อความเฉลียวฉลาดของลูก แต่ก็ยังมีเรื่องของอาหารของคุณแม่ตั้งแต่ขณะตั้งครรภ์และของลูกภายหลังคลอด รวมถึงสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบตัวเด็ก ขณะที่อยู่ในท้องและภายหลังคลอดก็เป็นส่วนสำคัญต่อพัฒนาการของสมองและอารมณ์ของลูกอย่างต่อเนื่องค่ะ



ลูกเป็นอย่างไร ในแต่ละช่วง
ช่วง 1-3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ เป็นช่วงของการเริ่มต้นสร้างอวัยวะ กล้ามเนื้อต่าง ๆ และเซลล์ประสาทของลูกน้อย ช่วงนี้คุณแม่จะต้องดูแลเรื่องอาหาร ยา และหลีกเลี่ยงสารพิษ เมื่อเข้าสู่เดือนที่ 3 ทารกจะมีการตอบสนองต่อสิ่งเร้าภายนอกที่มากระทบได้แล้ว ลูกจะดิ้นไปมาอยู่ในท้อง แต่แม่จะยัง ไม่ค่อยรู้สึกเพราะขนาดตัวของลูกยังเล็กมาก

ช่วง 4-6 เดือนของการตั้งครรภ์ ประสาทสัมผัสทางการได้ยินเริ่มพัฒนา ทารก จะเริ่มได้ยินเสียงหัวใจและเสียงของแม่ จำนวนเซลล์ของระบบประสาทเพิ่มมากขึ้น ทำให้ทารกเริ่มจดจำเสียงของคุณแม่ได้ และยังมีการเชื่อมต่อระหว่างระบบประสาทกับระบบกล้ามเนื้อ ทารกสามารถเคลื่อนไหวแขนและขาตามจังหวะของ ข้อพับ กำมือ ยืดตัว หรือพลิกตัวได้แล้ว
ช่วง 7-9 เดือนของการตั้งครรภ์ เมื่อลูกรู้สึกว่าภายนอก มีเสียงดัง หรือหากคุณแม่กินอาหารผิดเวลา ลูกจะสื่อความต้องการ หรือตอบโต้ด้วยการดิ้น เตะ ถีบ ระบบประสาทในการมองเห็นพัฒนา รูม่านตาจะเริ่มขยายหรือหรี่ได้ แม้จะอยู่ในถุงน้ำคร่ำ ทารกก็สามารถรับรู้ต่อแสง ความมืด ความสว่างได้ และสมองของทารกช่วงนี้ เป็นระยะที่มีการขยายตัวของเซลล์และรอยหยักมากขึ้น เด็กจะมีความจำมากขึ้น

ส่งเสริม 4 พัฒนาการให้ลูกในท้อง

ขณะที่ทารกอยู่ในครรภ์ ระบบประสาทส่วนต่าง ๆ ของลูกเริ่มทำงาน สามารถรับรู้และตอบสนองกับสิ่งกระตุ้นจากภายนอกท้องแม่ได้ โดยเฉพาะช่วงตั้งครรภ์ 4 เดือนไปแล้ว คุณแม่และคุณพ่อจึงสามารถช่วยส่งเสริมพัฒนาการของลูกได้ ดังนี้

1. ด้านอารมณ์
คุณแม่ที่อารมณ์ดีอยู่เสมอจะทำให้ลูกมีพัฒนาการที่ดีทั้งสมอง (IQ) และอารมณ์ (EQ) ในทางตรงกันข้าม คนที่มีอารมณ์หงุดหงิด โมโหง่าย จะทำให้ลูกคลอดออกมาเป็นเด็กงอแง เลี้ยงยาก พัฒนาการช้า ดังนั้นระหว่างตั้งครรภ์ควรปรับอารมณ์ให้ดีอยู่เสมอ ไม่เครียด อาจฟังเพลงหรืออ่านหนังสือเพื่อช่วยในการผ่อนคลายอารมณ์

2. ด้านการมอง
ออกไปยืนรับแสงแดดอ่อนๆ นอกบ้านช่วงเช้าหรือบ่าย ควรเลือกแสงที่มีความสว่างไม่จ้าจนเกินไป นอกจากนี้ การใช้ไฟฉายส่องที่หน้าท้องก็เป็นอีกวิธีที่ทำให้เซลล์สมองและเส้นประสาทส่วนรับภาพและ การมองเห็นของทารกมีพัฒนาการดีขึ้นและเตรียมพร้อมสำหรับการ มองเห็นภายหลังคลอด

3. ด้านการได้ยิน
หมั่นพูดคุยกับลูกในท้องบ่อย ๆ ด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล ใช้ประโยคซ้ำ ๆ เพื่อให้ลูกคุ้นเคย จะช่วยให้ระบบประสาทและสมองที่ควบคุมการได้ยินมีพัฒนาการที่ดีและเตรียมพร้อมสำหรับการได้ยินหลังคลอด

นอกจากนี้ การร้องหรือเปิดเพลงให้ลูกฟังบ่อยๆ โดยเฉพาะเพลงที่มีความไพเราะและคุณแม่ชอบฟัง ซึ่งการใช้เสียงกระตุ้นจะทำให้ การได้ยินของลูกมีพัฒนาการดีขึ้น ช่วงเวลาที่เหมาะในการฟังเพลง ควรเป็นช่วงหลังมื้ออาหาร เพราะเป็นช่วงเวลาที่ลูกตื่นตัวมากที่สุด ควรเปิดเสียงเพลงให้อยู่ห่างจากหน้าท้องประมาณ 1 ฟุต และเปิดเสียงดังพอประมาณเพื่อลูกในท้องจะได้ฟังเสียงเพลงไปด้วย คลื่นเสียงจะไปกระตุ้นให้ระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับการได้ยินมีการพัฒนาระบบการทำงานได้เร็วขึ้น ทำให้เมื่อลูกคลอดออกมาจะมีความสามารถในการจัดลำดับความคิดในสมอง รู้สึกผ่อนคลาย และจดจำสิ่งต่างๆ ได้ดี

4. ด้าน การสัมผัส
การลูบไล้หน้าท้องบ่อย ๆ จะกระตุ้นระบบประสาทและสมองส่วนรับรู้ความรู้สึกของลูกให้มีพัฒนาการที่ดีขึ้น คุณแม่ควรลูบหน้าท้องเป็นวงกลมจากบนลงล่างหรือจากล่างขึ้นบน บริเวณไหนก่อนก็ได้ โดยขณะที่สัมผัสอาจร้องเพลงหรือพูดคุย ไปด้วย ยิ่งถ้าทำในช่วงเวลาเดิมเป็นประจำจะรู้สึกได้ว่าเมื่อถึงช่วงเวลานั้น ลูกจะดิ้นรออยู่แล้ว

นอกจากการลูบไล้หน้าท้องแล้วการออกกำลังกายเบา ๆ หรือการเดินเล่น จะทำให้ลูกในท้องมีการเคลื่อนไหว ตามไปด้วย และผิวกายของลูกจะไปกระแทกกับผนังด้านในของมดลูก ซึ่งจะช่วยกระตุ้นระบบประสาทสัมผัสของลูกให้พัฒนาได้ดีขึ้น ทั้งนี้ ควรหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ต้องเกร็งกล้ามเนื้อหน้าท้องค่ะ



5 เคล็ดลับ วิธีลดความอ้วนแบบธรรมชาติ

คุณกำลังมองหาวิธีลดความอ้วนแบบธรรมชาติอยู่หรือเปล่า อ่านบทความนี้รับรองว่าคุณจะพบวิธีการลดความอ้วนที่เป็นไปอย่างธรรมชาติ ซึ่งหลักสำคัญของการลดน้ำหนักคือ ต้องออกกำลังกายและควบคุมอาหาร วันนี้เราขอแนะนำวิธีการลดความอ้วนอย่างได้ผลแบบธรรมชาติบำบัด ซึ่งมีดังนี้


วิธีลดความอ้วนแบบธรรมชาติ
 
1.ไม่กินข้าวมื้อเย็น หรือทานอาหารพวกผักและผลไม้แทน สำหรับมื้อเย็นแล้วให้หลีกเลี่ยงการทานข้าวที่มากเกินไป และหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกแป้ง (โดยเฉพาะข้าวไม่ควรทานมากเกินไป) ไขมัน อาหารทอดทั้งหลายนี้ต้องเลี่ยงเลย ควรทานเป็นผลไม้ สลัดผัก อาหารจำพวกเส้นใย น้ำผลไม้ เป็นต้น

2. ในหนึ่งสัปดาห์ควรเลือก 1 วัน สำหรับงดเนื้อสัตว์ ไขมัน ข้าว แล้วกินแต่ผลไม้และธัญพืชอย่างเดียวทั้งวัน เช่น มะละกอสุก กล้วย แอบเปิล ถั่วต่างๆ เป็นต้น ไม่ควรทานผลไม้ที่ให้แคลลอรี่สูงหรือพลังงานสูง เช่น ทุเรียน

3.อาหารทุกมื้อพยายามเคี้ยวอาหารช้า ๆ
การที่เราทานอาหารด้วยความรวดเร็วจะทำให้เรากินได้มากเกินพิกัดโดยที่ไม่รู้ตัว ที่สำคัญสาวๆ จำไว้ให้ดีว่าไม่ควรทานอาหารหลัง 6 โมงเย็น หรือช่วงกลางคืนดึกดื่นเป็นอันขาด เพราะช่วงนี้แหละที่ทำให้เราต้องเจอกับปัญหาอ้วน ๆๆๆ ควรทานอาหารให้พอเหมาะ โดยเฉพาะข้าวอย่าทานมาก ควรทานผักให้มากๆ แทน หากรู้สึกไม่อิ่มให้ทาน น้ำผลไม้หรือ ควรหันมาทานผลไม้ ธัญพืช เพิ่มเติมเข้าไป แต่อย่าลืมนะค่ะว่าเราต้องทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ แต่เราไม่จำเป็นต้องทานในปริมาณมากๆ เดี๋ยวจะอ้วนเอา

4. หมั่นดื่มน้ำผลไม้ก่อนทานอาหาร
ก่อนทานอาหาร ควรดื่มน้ำผลไม้ หรือ ผลไม้สดก็ได้ เช่น น้ำส้ม เพราะวิตามินที่มีอยู่ในน้ำส้มจะช่วยดูดซึมสารอาหารที่สำคัญ น้ำองุ่น ในองุ่นนั้นมีแร่ธาตุเสริมให้เนื้อเยื่อแข็งแกร่งและสดใสเพราะอุดมไปด้วยวิตามินซี ซึ่งการดื่มน้ำผลไม้หรือผลไม้ก่อนทานอาหารจะช่วยให้เราอิ่มอาหารเร็วขึ้น ทำให้ไม่ต้องทานอาหารเยอะเกินความจำเป็น ช่วยให้ไม่อ้วน

5. การเคลื่อนไหวร่างกายหรือการออกำลังกาย
พยายามหาเวลาหรือกิจกรรมที่ทำให้ร่างกายได้เคลื่อนไหวจนได้เหงื่อ เช่นการออกกำลังกาย เล่นกีฬา การทำงานบ้าน เป็นต้น ช่วงแรกเริ่มต้นวันละประมาณครึ่งชั่วโมงก็ยังดี แล้วพอร่างกายเริ่มปรับเข้าที่ก็เพิ่มการออกกำลังกายเป็นวันละ 1 ชั่วโมง จะช่วยเผาผลาญไขมันได้ดี แถมได้สุขภาพที่แข็งแรงอีกด้วย ซึ่งการออกกำลังกายถือเป็นอีกสูตรสำเร็จที่ทำให้ผู้ที่ต้องการลดความอ้วนสามารถทำฝันเป็นจริงได้

วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

6 วิธี ชะลอความแก่

หลายคนชอบพูดว่าเรื่องของอายุเป็นเพียงตัวเลข เฮ้อ!เห็นวันเดือนปีเกิดในบัตรประชาชนก็อดแอบรู้สึกแย่ไม่ได้ แต่จริงๆแล้วเราสามารถควบคุมเรื่องอื่นๆได้อีกสารพัด เรื่องอายุตามวันเวลานั้นแต่ก็ไม่ได้เป็นตัวตัดสินไปซะทุกเรื่องเช่นกัน กับคนที่ไม่ออกกำลังกาย หรือกินอาหารผิดพลาด อาจมีสภาพร่างกายแก่กว่าคนที่กินดีและออกกำลังกายสม่ำเสมอและเป็นไปได้ที่จะมี Lifestyle ที่ดี เพื่อชะลอนาฬิกาและปกป้องความชราภายในตนเอง



1. ขบเคี้ยวอะโวคาโด อนุมูลอิสระเป็นตัวทำลายโมเลกุล DNA ที่เกิดจากทุกสิ่งนับตั้งแต่ความเครียดไปจนถึงมลพิษ โชคดีที่มีวิธีง่ายในการฟาดฟันซึ่งก็อยู่ในชามสลัดของคุณนั่นเอง การศึกษาพบว่า น้ำมันอะโวคาโด เปี่ยมไปด้วยแอนติออกซิเดนท์มีพลังในการแทรกซึม และปกป้องศูนย์กลางเซลล์ ซึ่งก็หมายความว่าทุกครั้งที่รับประทานนั้นคุณจะได้รับการป้องกันความชราไปทั่วร่างกาย ดังนั้นสลัดชามใหญ่ของคุณควรมีอะโวคาโด
2. สัมผัสการเผาพลาญ เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า เมื่ออายุย่างเข้าวัย 35 ปี อัตราการสูญเสียมวลกระดูกเพิ่มขึ้นอย่างเชื่องช้าตามธรรมชาติจากกระบวนการความชรา แต่ ซาราห์ เลนย์แลนด์ จากสมาคมกระดูกโรคกระดูกพรุน อธิบายว่ามีวิธีป้องกันได้ คือ
การออกกำลังกายรับน้ำหนัก ซึ่งจัดเป็นวิธีดีที่สุดในการรักษากระดูกให้แข็งแรงแต่ไม่จำเป็นต้องออกกำลังกายแบบหนักหน่วง คุณสามารถ ใช้น้ำหนักตัวแทนด้วยการออกกำลังกายด้วยการทำท่าเพรสอัพ ย่อตัว และยกตัวขึ้น ทำแต่ละท่า 15 ครั้ง สัปดาห์ละ 4 ครั้ง การออกกำลังแบบนี้เสมือนเป็นการเพิ่มพลังงาน ซึ่งเป็นกระบวนการทำให้กระดูกของคุณแข็งแรง อีกทั้งยังช่วยรักษากล้ามเนื้อเพราะมวลกล้ามเนื้อลดลงเนื่องจากความชรา แต่การหมั่นฝึกการรองรับน้ำหนักจะช่วยให้กระบวนการนี้เชื่องช้าลงได้
3.เลือกสีเขียว ถ้าคุณจิบชาอยู่บ่อยแล้วก็ถือเป็นการดี จากการศึกษาพบว่าคนที่ดื่มชาเขียวมากกว่าวันละ 3 แก้ว มีปริมาณดีเอ็นเอ ปลายโคโมโซมที่เกี่ยวพันกับการฟื้นฟูเซลล์เพิ่มขึ้น เมื่อทำการศึกษานักดื่มชาเขียวก็พบว่าพวกเขามีร่างกายที่อ่อนเยาว์กว่าวัยจริงชาเขียวยังมีพลังแอนติออกซิเดนท์อย่างเหลือเชือและยังมีคุณสมบัติ ป้องกันโรคหัวใจมาเนิ่นนาน อีกทั้งยังช่วยปกป้องเซลล์สมองจากสารพิษที่เกี่ยวพันกับโรคอัลไซเมอร์ ถึงเวลาชงชาเขียวกันละสิ
4. ร้องเพลง การร้องเพลงสามารถช่วยปรับปรุงอารมณ์ แถมยังเป็นประโยชน์ในตัวอีกด้วย ปอดทำงานได้สูงสุด ตอนอายุ 21 ปี แล้วค่อยๆ เสื่อมถอยลงตอนตามอายุ เนื่องจาก ขาดความยืดหยุ่นที่ผนังปอด ตลอด 40 ปี หากคุณเสียปริมาณปอดไปหนึ่งลิตร แต่การร้องเพลงอาจช่วยได้หลายทาง ประการแรก คือ ช่วยสอนการออกกำลังการหายใจทำให้ปอดเต็ม กระตุ้นให้ทำงานเต็มกำลังมากขึ้นอีกทั้งได้ออกกำลังกลุ่มกล้ามเนื้อหลักร่างกายท่อนบน
5 ออกกำลังกาย 30 วินาที การศึกษาค้นคว้า พบว่าการออกกำลังกายสไตล์ทำบ้างหยุดบ้าง อาจมีผลดีในต้านความแก่ การออกกำลังกายแบบสั้นๆ ซึ่งใช้เวลา 30 วินาที เช่น ขี่จักรยานเร็วจี๋มากที่สุดจะช่วยปลดปล่อยอนุมูลอิสระน้อยกว่าการออกกำลังกายเร็ว 5-8 วินาที แล้วหยุดพัก การออกกำลังแบบนี้จะช่วยให้ผลิตฮอร์โมนให้เติบโตขึ้น ซึ่งจะไปรับผิดชอบต่อการฟื้นฟูเซลล์ให้มีระดับลดลงเมื่ออายุย่างสู่วัย 20 ปี ดังนั้นการกระโดดสลับไปมาระหว่างการออกกำลังกายจัดว่าช่วยป้องกันความแก่ได้
6 การบิดตัวอีกครั้ง ตับของคุณจะมีการเปลี่ยนแปลงมากเมื่ออายุมากขึ้น คือเลือดจะไหลเวียนช้าลง ซึ่งหมายถึงตับลดการทำงานการล้างพิษ และเผาพลาญพลังงาน แต่การฝึกโยคะก็จะช่วยแก้ไขได้ เชื่อกันว่าโยคะช่วยให้บรรเทาความเครียดบริเวณหลัง คุณสามารถเพิ่มเลือดให้ไหลลงที่ตับได้ด้วย ท่าบิดตัวด้านข้าง ให้นั่งเหยียดขาตรงออกไปข้างหน้า งอขาซ้าย ส้นเท้าซ้าย วางข้างสะโพกขวาให้ชิดที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขาซ้ายจะทับบนขาขวา มื้อขวาวางเข่าซ้าย มือซ้ายเอื้อมไปข้างหลัง ค่อยๆบิด เอว ไหล่ คอ ไปทางซ้าย เหลียวมองไปทางไหล่ขวาตรงอยู่เสมอ หายใจ 8 ครั้ง ในท่านั้น แล้วทำซ้ำอีกข้าง พยายามทำทุกวัน


เคล็ด(ไม่) ลับ 8 วิธีคลายเครียดในที่ทำงาน

คุณกำลังมองหาวิธีคลายเครียดในที่ทำงานอยู่ใช่ไหม ความเครียดส่งผลเสียต่อร่างกาย จิตใจ และการทำงานของคุณ วันนี้ทางเรามีวิธีชวนคุณคลายเครียดด้วยหลากหลายเทคนิคที่ช่วยให้ผ่อนคลาย ลองนำไปใช้กันดูค่ะ อาจพบวิธีที่เหมาะกับตัวคุณ


1.งดกาแฟถ้วยที่ 2 ดื่มกาแฟครั้งละ 1 แก้วดีต่อสุขภาพ แต่หากดื่มเป็นแก้วที่ 2 คาเฟอีนจะทำให้หัวใจคุณเต้นเร็วขึ้น 16 ครั้งต่อนาที ทำให้รู้สึกใจสั่นและมีความกังวลเพิ่มขึ้น

2.เปลี่ยนไปทำอย่างอื่น หากคุณต้องทำงานหลาย ๆ งาน และคุณมีปัญหาติดขัดกับงานใดงานหนึ่ง ซึ่งคุณไม่สามารถทำให้มันคืบหน้าไปได้เสียที ให้เปลี่ยนไปทำงานอย่างอื่นให้เสร็จก่อน แล้วค่อยกลับมาจัดการงานที่ค้างไว้ทีหลัง แล้วคุณจะมองเห็นอะไรได้ชัดเจนขึ้น ทำให้สามารถคลี่คลายปัญหานั้นได้

3.กินผลไม้เติมความสดชื่น ควรมีผลไม้ติดโต๊ะไว้ และกินมันเวลาที่รู้สึกเครียด ผลไม้รสเปรี้ยว ๆ หวาน ๆ จะช่วยให้คุณสดชื่นขึ้น

4.เปลี่ยนอิริยาบถบ้าง คุณอาจย้ายที่นั่ง หรือลุกขึ้นยืน เดินไปเดินมา มองโน่นมองนี่บ้าง เบี่ยงเบนความสนใจไปยังเรื่องอื่น ทำให้คุณลืมความเครียดไปชั่วขณะ ก่อนที่จะกลับมาทำงานอีกครั้งด้วยความคิดและมุมมองใหม่ ๆ

5.บริหารไหล่คลายเมื่อย เวลาที่คุณนั่งทำงาน กล้ามเนื้อบริเวณคอและไหล่จะตึง ทำให้ปวดเมื่อย การหมุนไหล่ไปด้านหน้าและหลังอย่างละ 10 - 15 ครั้ง จะช่วยคลายกล้ามเนื้อได้

6.พูดช้า ๆ ยิ่งพูดเร็วความเครียดก็ยิ่งเพิ่มขึ้น พูดช้า ๆ ค่อย ๆ หายใจ นอกจากคุณจะสงบลงแล้ว ผู้ฟังก็จะไม่รู้สึกกดดันด้วย

7.
อยู่เงียบ ๆ คนเดียว หลบไปหาที่สงบ ๆ เช่นไปที่ห้องสมุดของบริษัท หรือห้องประชุมที่ว่างเปล่า ปลดปล่อยจิตใจโดยที่ไม่มีใครเข้ามาแทรกแซง สักพักหนึ่ง คุณจะค่อย ๆ รู้สึกดีขึ้น

8.มองออกไปไกล ๆ หากที่ทำงานของคุณอยู่บนตึกสูง ให้มองผ่านกระจกออกไปไกล ๆ จะเห็นวิวโดยรอบ ซึ่งจะช่วยให้คุณรู้สึกปลอดโปร่งและผ่อนคลาย


วันพุธที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

8 วิธีกำจัดภัยใต้เข็มขัด

การต้องรูดซิป ถลกกระโปรงดูจะเป็นเรื่องน่าอายที่สุดที่ไม่มีหนุ่มสาวคนไหนอยากทำนัก โดยเฉพาะเมื่ออยู่บนเตียงกับคนแปลกหน้าในคลินิกดังนั้นคงไม่มีอะไรจะดีที่สุดเท่าการป้องกันความอับอายด้วยการรู้จักโรคที่คาดไม่ถึงในที่ลับ กับวิธีสร้างสุขอนามัยในที่ซ่อนเร้นและนี่คือ 8 วิธีกำจัดภัยทั้งเหนือและใต้เข็มขัดที่เรานำมาฝาก


สายบราที่รัดตึงเกินไปจะทำให้ปวดศีรษะ ไหล่ หลัง คอ และเป็นจุดเริ่มต้นของการปวดหัวเรื้อรัง หรือไมเกรน เนื่องจากกล้ามเนื้อ ช่วงไหล่ถูกดึงรั้งจนเลือดบริเวณนั้นไหลเวียนไม่สะดวก

บราไซส์เล็กเกินไป ทำให้เกิดภาวะเครียดต่อระบบกล้ามเนื้อ ระบบหายใจและระบบไหลเวียนเลือด ทำให้เหนื่อยง่าย บางรายมีอาการเจ็บหน้าอกเรื้อรัง
จากการศึกษาเรื่อง Bra and Breast Cancer Study ที่สหรัฐอเมริกา พบว่าการใส่บราที่รัดแน่นต่อเนื่องเป็นเวลานาน เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านม เพราะแรงกดทำให้เกิดการคั่งของเลือดและน้ำเหลือง และเกิดเป็นก้อนเนื้อที่บริเวณหน้าอก ซึ่งอาจกลายเป็นเนื้อร้ายในเวลาต่อมา

ควรเลือกขนาดของบราให้เหมาะสมกับบรากาวที่เสริมเข้าไป
ก่อนใช้ควรทำความสะอาดผิวบริเวณที่สวมใส่ให้แห้ง และไม่ควรทาโลชั่น น้ำหอม แป้ง หรือผลิตภัณฑ์ดูแลผิวใดๆ ถึงแม้ศูนย์ Women's Health Boutique สหรัฐอเมริกา เชื่อว่าการใช้บรากาวปลอดภัยและไม่มีอันตรายต่อสุขภาพ แต่ถ้าเกิดการระคายเคืองหรือคันบริเวณเต้านม ควรให้เลิกใช้ทันที หลังใช้ควรทำความสะอาดบราด้วยน้ำสบู่อ่อนๆ หรือน้ำอุ่น ใช้ผ้าซับน้ำด้านที่เป็นกาว นำไปผึ่งในที่ร่มจนแห้งสนิท แล้วจึงเก็บไว้ในอุณหภูมิปกติ

การสวมสเตย์รัดหน้าท้องนานๆ จะทำให้กล้ามเนื้อหลังไม่แข็งแรงปวดหลังเป็นประจำ หรือปวดหลังเรื้อรัง เวลานั่ง ยืน หรือเดิน อวัยวะภายในช่องท้องทำงานได้ไม่เต็มที่ เนื่องจากแรงบีบรัดของสเตย์ อวัยวะที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดคือ กระเพาะอาหาร ลำไส้ ระบบขับถ่ายที่ทำให้ท้องผูก ระบบกล้ามเนื้อ ระบบไหลเวียนเลือดอุดตัน ทำให้เกิดความเครียด ระบบย่อยอาหารที่เป็นอุปสรรคต่อการย่อยจนเกิดโรคกระเพาะอาหารอักเสบหรือเป็นแผล

การใส่จีสตริงที่มีขนาดเล็ก หรือสายรัดตึงเกินไป ทำให้เกิดอาการระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อบริเวณง่ามก้น หรือเกิดการเสียดสีจนอาจเป็นแผลผิวหนังถลอก หรืออักเสบที่บริเวณอวัยวะเพศหรือทวารหนักได้ หากรักษาความสะอาดไม่ดีพอ สายของจีสตริงจะเป็นแหล่งสะสมของแบคทีเรียบริเวณรอบทวารหนักชื่อ Gardinerella Vaginalis เป็นเหตุให้แบคทีเรียดังกล่าวแพร่เข้าสู่ช่องคลอด เกิดปัญหาการติดเชื้อ มีอาการตกขาว กลิ่นเหม็น และคันที่บริเวณอวัยวะเพศ

อย่าใส่ซ้ำ หรือรีบเปลี่ยนชุดชั้นในที่อับชื้นทันทีเพื่อป้องกันการติดเชื้อและราที่อาจทำให้เกิดโรคผื่นคันหรือสังคัง ซึ่งเกิดได้ทั้งในผิวหนังบริเวณเร้นลับทั้งของผู้ชายและผู้หญิง สาเหตุของสังคัง เกิดจากเชื้อราลุกลามเป็นวงกว้างในเซลล์ที่ตายแล้วบริเวณขาหนีบซึ่งเป็นมุมอับ เมื่ออากาศระบายเข้า-ออกไม่ดีทำให้เกิดการหมักหมม เมื่อรู้ตัวว่าเริ่มมีอาการคันบริเวณขาหนีบ ให้รีบไปหาหมอเพื่อทำการรักษา การป้องกัน และการรักษาที่ดีที่สุดคือ รักษาความสะอาดของร่างกายโดยอาบน้ำทุกวัน วันละ 2 ครั้งเป็นอย่างน้อย หลังอาบน้ำเสร็จแล้วเช็ดตัวให้แห้ง อย่าให้ร่างกายมีความอับชื้นโดยเฉพาะที่ขาหนีบ

ควรหมั่นทำความสะอาดชุดชั้นในให้ปลอดเชื้อราเสมอๆ เริ่มจากแยกชุดชั้นในออกจากชุดชั้นนอก และแยกสีเข้ม สีอ่อน ซักด้วยน้ำยาซักผ้าหรือผงซักฟอกละลายในน้ำธรรมดา ไม่ควรใช้สาร

ฟอกขาวทุกชนิด ไม่ควรขยี้หรือใช้แปรงขัดชุดชั้นในแรงๆ (โดยเฉพาะยกทรง) เพราะจะทำให้เสียรูปทรงได้ง่าย ในบริเวณที่มีคราบสกปรกให้ใช้แปรงขนนุ่มๆ ถูเบาๆ ให้สะอาด จากนั้นให้ล้างชุดชั้นในด้วยน้ำสะอาดหลายๆ ครั้ง ไม่ควรบิดยกทรงโดยเฉพาะแบบมีโครง ควรบีบเบาๆ เพื่อให้น้ำออก ตากในที่ร่ม มีลมโกรก ไม่ควรตากชุดชั้นในทุกชนิดให้ถูกแสงแดดโดยตรงเพราะจะทำให้เนื้อผ้าและสีเสื่อมสภาพเร็ว

มื้อนี้ผิวสวยขึ้นเป็นกอง

ผิวขาวอมชมพูจะอยู่ได้ยั่งยืนต้องอาศัยการดูแลจากภายในร่วมด้วย และหากจะซื้อของเข้าตู้เย็นครั้งต่อไปอย่าลืมมองหาของเหล่านี้ด้วยล่ะ


ผักกาด อุดมไปด้วยวิตามินซีีซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยยับยั้งการสังเคราะห์เมลานิน นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของไขมัน ดังนั้น การกินผักกาดจะทำให้ ผิวขาวและเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ
ถั่วลันเตา อุดมไปด้วยวิตามินเอที่จะทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้น
แครอต ให้ประโยชน์แก่ผิวเป็นอย่างดี อุดมไปด้วยเพกตินที่ช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกายและทำให้ผิวดูเรียบเนียนอมชมพู
มันเทศ มีโปรตีนและวิตามินซี สามารถลดคอเลสเตอรอลและไขมันใต้ผิวหนัง ช่วยให้ผิวกระจ่างใส
แตงกวา มีกรดอะมิโนที่ช่วยลบรอยกระ จุดด่างดำ ทำให้ผิวขาว เกลี้ยงเกลา และลดอาการแพ้

ถั่วงอก สามารถป้องกันการเกิดฝ้า กระ จุดด่างดำ และช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใสขึ้น

Living Room
การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอไม่เพียงแต่จะช่วยให้มีสุขภาพดี แต่ยังช่วยสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกาย และช่วยขับของเสียออกมาทางเหงื่อ ทำให้ผิวมีเลือดฝาดในทันทีแบบไม่ต้องรอ แค่ใช้เวลาออกกำลังกายเพียง 20 นาทีในวันธรรมดาและ 60 นาทีในวันหยุด จะเป็นกีฬาที่ชอบหรือการบริหารร่างกายก็เถอะ โดยให้อัตราการเต้นของหัวใจเพิ่มขึ้น 40-60 เปอร์เซ็นต์ก็พอ แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามความแข็งแรง


อยากแก่ช้า ป่วยยาก หมั่นดูแล “ลำไส้“

ยุคสมัยของการเร่งรีบ การแข่งขันทำงานในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ บวกกับการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ทำให้หลายคนเกิดความเครียดลึกๆ โดยไม่รู้ตัว นำมาซึ่งอาการป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ เกิดอาการไม่สดชื่น ปวดท้อง ท้องอืด ขับถ่ายไม่ปกติ เมื่อไปพบแพทย์ก็ไม่สามารถระบุได้ว่ามาจากสาเหตุอะไร


แต่สำหรับการแพทย์เวชศาสตร์ชะลอวัยแบบองค์รวม (Anti-Aging Medicine) เรียกอาการเหล่านี้ว่า "ภาวะร่างกายสะสมพิษ" เมื่อร่างกายมีสารพิษสะสมเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะของเสียที่ตกค้างอยู่ในตับและลำไส้ นำไปสู่การอักเสบและการรั่วซึมของผนังเซลล์ทำให้สารพิษเข้าสู่กระแสเลือดทำให้เกิดความผิดปกติและร่างกายเสียความสมดุล
ร.ต.ต.นพ.อัญวุฒิ ช่วยวงษ์ญาติ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญของบาลานซ์ บาย ไฮโดรเฮลท์ คลินิกเวชศาสตร์ชะลอวัยแบบองค์รวม กล่าวว่า คนเราจะสุขภาพดีหรือไม่ดี ดูได้จากลำไส้ สังเกตได้จากว่า ท้องอืดไหม ถ่ายสะดวกไหม เป็นตัวชี้วัดคุณภาพของระบบย่อยอาหารทั้งหมด ถ้าลำไส้ดี สุขภาพด็จะดีตามไปด้วย
"ลำไส้เล็กมีความสำคัญมากที่สุด แต่คนส่วนใหญ่กลับละเลยไม่ใส่ใจในการดูแล ลำไส้เล็กมีหน้าที่ดูดซึมสารอาหารและวิตามินที่มีประโยชน์เข้าสู่ร่างกายโดยตรง หากรับประทานอาหารที่มีสารปนเปื้อนหรือมีสารพิษตกค้าง ทำให้ลำไส้เกิดการอักเสบ สารพิษซึมผ่านผนังลำไส้เข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เกิดโรคต่างๆ มากมาย อาทิ ภูมิแพ้ สิวที่รักษาไม่หาย ข้ออักเสบรูมาตอยด์ และไทรอยด์อักเสบ"
วิธีการดูแลลำไส้เล็กให้มีสุขภาพดี ร.ต.ต.นพ.อัญวุฒิแนะนำว่า ควรรับประทานอาหารที่ไม่มีสารพิษปนเปื้อน ถูกสุขลักษณะ ไม่รับประทานอาหารซ้ำซาก และรับประทานแบคทีเรียชนิดดีที่มีประโยชน์ (โปรไบโอติกส์) ซึ่งอยู่ในโยเกิร์ตและนมเปรี้ยว เพื่อเสริมการช่วยย่อยให้มีประสิทธิภาพให้ดีขึ้น นอกจากนี้การดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอในแต่ละวันเป็นสิ่งที่จำเป็นมาก เพราะหากดื่มน้ำน้อยจะส่งผลทำให้การดูดซึมน้ำในลำไส้ใหญ่มีปัญหาเกิดภาวะอุจจาระแข็งตัว ขับถ่ายไม่สะดวก และเกิดอาการท้องผูกได้
"สารพิษที่ตกค้างในร่างกายเปรียบเสมือนภัยเงียบที่คอยบ่อนทำลายสุขภาพ ทุกคนอยากแก่ช้าป่วยยาก การป้องกันโรคก่อนเกิดโรคสามารถทำได้ง่ายๆ โดยเริ่มต้นที่ใส่ใจดูแลตัวเอง ทั้งการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกาย พร้อมหมั่นล้างสารพิษและอนุมูลอิสระออกจากร่างกาย เพียงเท่านี้ท่านก็จะมีสุขภาพดีและห่างไกลโรคไปอีกนาน" ร.ต.ต.นพ.อัญวุฒิกล่าวทิ้งท้าย

วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เคล็ดลับ สุขภาพดี ด้วย 18 วิธี ง่ายๆ

สุขภาพดีอาจจะหาซื้อไม่ได้แต่เป็นเจ้าของได้แน่นอน ถ้า ทำตามเคล็ดลับเหล่านี้

   1. แอปเปิ้ล แตงโม กล้วย กีวีต้องระวัง
ผลไม้ทั้ง 3 ชนิดนี้มีประโยชน์มาก แต่ถ้าคุณกำลังทานยาปฏิชีวนะอยู่ ผลไม้พวกนี้จะกลายเป็นโทษทันทีเพราะมันบูดในลำไส้ได้ง่าย อาจจะทำให้เกิดอาการอักเสบในระบบทางเดินอาหารได้
   2. ผลไม้กับมื้ออาหาร
ก่อนทานอาหารควรจะเรยีกน้ำย่อยด้วยสับปะรดและมะละกอสัก 2-3 ชิ้น ผลไม้สองชนิดนี้มีเอนไซม์ที่จะช่วยให้กระเพาะย่อยอาหารมื้อหลักที่กำลังจะตามลงมาได้ง่ายขึ้น และหลังจากจบมื้ออร่อยแล้วควรตบท้ายด้วยแอปเปิ้ลสัก 1 ชิ้นเพื่อช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลายซึ่งจะทำให้จำนวนแบคทีเรียในช่องปากลดลง และช่วยให้เหงือกแข็งแรงด้วย
   3. อย่าปล่อยให้หิว
ควรจะทานอาหารให้ตรงเวลาทุกวันแม้จะยังไม่รู้สึกหิวก็ตาม เพราะเวลาที่เราหิวร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนควมเครียดออกมา ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้เป็นประจำก็จะทำให้คุณกลายเป็นสาวเครียด และนำไปสู่อาการความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือเบาหวาน
   4. เนื้อสัตว์กับผลไม้ไม่เข้ากัน
ถ้าทานน้อยๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้ามื้อไหนคุณทานเนื้อเป็นจำนวนมากแล้วควรจะงดผลไม้ไป เพราะกว่าเนื้อจะย่อยหมดต้องใช้เวลานาน ส่าวนผลไม้ซึ่งย่อยเร็วจะถูกกักอยู่ในกระเพาะ จึงทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหารได้
   5. นาฬิกาชีวภาพ
หลักการสุขภาพดีบอกไว้ว่าเราควรจะเข้านอนในเวลาเดียวกันทุกๆ วัน แต่ส่วนใหญ่พอถึงคืนวันศุกร์กับวันเสาร์เรามักจะนอนดึกเพราะถือว่าเป็นวันหยุด การทำอย่างนี้จะทำให้ความเคยชินหรือที่เรียกว่าชีวภาพของร่างกายรวรเร จึงไม่ต้องแปลกใจเลยที่วันจันทร์เราจะง่วงนอนกว่าปกติ
   6. ความเครียดทำลายผิว
ถ้าอยากผิวสวย แก่ช้า ดูอ่อนกว่าวัย สิ่งแรกที่ต้องปรับคือความคิดของตัวเราเอง พยายามคิดในทางบวก มองโลกในแง่ดี หลีกเลี่ยงความคิดที่ทำให้ตึงเครียด เพื่อไม่ให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนความเครียดออกทำลายตัวเราเอง
    7. หลีกเลี่ยงภาชนะพลาสติก
เพราะความร้อนรวมทั้งรสชาติเผ็ดเปรี้ยว เค็มจากอาหารสามารถเข้าไปกัดเซาะสารสังเคราะห์ในพลาสติกให้ละลายออกปะปนกับอาหารได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะการใช้ภาชนะพลาสติกใส่อาหารเข้าอุ่นในเตาไมโครเวฟยิ่งเป็นสิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง เพราะเป็นการเสี่ยงต่อมะเร็งเต้านมเป็นอย่างมาก
   8. อย่าประมาทอาการไอเรื้อรัง
หลังจากหายหวัดแล้วอาการไออาจจะยังไม่หายไป แต่สาวหลายคนมักจะไม่สนใจเพราะคิดว่าอาการไอเป็นเรื่องชิลๆ แต่ที่จริงอาการไอเรื้อรังร้ายแรงกว่าที่คุณคิด เพราะมันอาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัส ยาปฏิชีวนะ ที่หมอให้มารักษาอาการหวัดไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ วิธีหยุดอาการไอที่ได้ผลที่สุดคือการดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อลดเสมหะในทางเดินหายใจ และนอนหลับให้เพียงพอเพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานได้เต็มที่
   9. เท้าและข้อเท้าบวม
ถ้ามีอาการแบบนี้อย่าปล่อยไว้ เพราะฝ่าเท้าเป็นศูนย์รวมของเส้นประสาททั่วร่างกาย ถ้าบริเวณเท้ามีปัญหาก็จะส่งผลถึงร่างกายทุกส่วน วิธีแก้ไขคือให้นั่งยองๆ ทุกวันๆ ละ 15 นาทีจากนั้นก็ขยับข้อเท้าไปข้างหน้าและข้างหลังเพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น หลังจากนั้นใช้แปรงขนนุ่มๆ แปรงผิวหนังเบาๆ โดยเริ่มจากฝ่าเท้าแล้วค่อยๆ ปัดไล่ขึ้นมาที่ข้อเท้า น่อง ต้นขา ท้อง แขนไปจนสุดที่มือทั้งสองข้าง (ยกเว้นผู้ที่เป็นเบาหวานเพราะเสี่ยงจะเกิดบาดแผล) ตบท้ายด้วยการอาบน้ำอุ่นแล้วตามด้วยน้ำเย็น จะช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น
   10. งดเครื่องดื่มคาเฟอีน
เครื่องดื่มพวกนี้ไม่ว่าจะเป็นชาหรือกาแฟ ปกติก็ไม่ควรดื่มอยู่แล้ว แต่ถ้าบังเอิญคุณเป็นโรคปวดหลัง เครื่องดื่มพวกนี้จะเป็นศัตรูของคุณไปทันที เพราะคาเฟอีนจะไปลดการหลั่งสารเอนโดรฟินซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดอาการปวดตามอวัยวะต่างๆ อาการปวดของคุณก็จะไม่หายหรืออาจจะเป็นมากขึ้นด้วย
   11. ดื่มน้ำเร็ว...อันตราย
ใครๆ ก็บอกว่าควรจะดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว แต่ต้องค่อยๆ ดื่มไปตลอดวัน ไม่ใช่ทั้งวันไม่ดื่มเลย แล้วมารวบยอดเอาในครั้งเดียว เพราะการดื่มน้ำปริมาณมากๆ ในครั้งเดียวอาจทำให้เกิดอาการน้ำเป็นพิษเนื่องจากเลือดเจือจาง และอาจทำให้เป็นตะคริว กล้ามเนื้อเกร็งตามมา ยิ่งถ้าอาการเกร็งไปเกิดที่สมอง หัวใจ หรือปอด ก็อาจจะทำให้ระบบหายใจล้มเหลวและเสียชีวิตได้
   12. แดดอ่อนตอนเช้า
แสงแดดยามเช้าจัดว่าเป็นยาตามธรรมชาติที่ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของโดยไม่ต้องเสียเงินซื้อ นอกจากทำให้กระดูกแข็งแรงแล้วยังทำให้อารมณ์ดี เพราะแดดอ่อนๆ มีวิตามินที่ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุข ออกมาต่อต้านอาการซึมเศร้าในตัวเรา คนที่เดินเล่นรับแดดอ่อนจึงมีหน้าตาเบิกบานกว่าคนที่มัวแต่หลบแดดอยู่ในบ้านมาก
   13. เบาหวานอย่าทานไข่
ถ้าสมาชิกในครอบครัวคุณคนไหนเป็นเบาหวาน ควรให้เขางดไข่ไปเลย เพราะมีรายงานทางการแพทย์ว่าถ้าคนที่เป็นเบาหวานทานไข่อาทิตย์ละ 1 ฟอง จะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจมากขึ้น
   14. อยากผอมต้องน้ำเย็น
การดื่มน้ำเย็น 50 ออนซ์ จะช่วยเผาผลาญพลังงานเพิ่มขึ้นวันละ 50 แคลอรี ช่วยให้น้ำหนักลดลงปีละ 2.5 กิโลกรัม เพราะเมื่อเราดื่มน้ำเย็นร่างกายต้องใช้พลังงานในการทำให้น้ำนั้นเปลี่ยนอุณหภูมิเป็นอุณหภูมิปกติก่อน แล้วจึงนำไปใช้ได้ จึงเป็นการใช้พลังงานมากกว่าเดิม
   15. สุขภาพดีทันทีที่ตื่น
ถ้าอยากดูแลสุขภาพพร้อมกับการเริ่มต้นวันใหม่ ทันทีที่ตื่นนอนสาวๆ ควรผสมน้ำส้มสายชู (ที่หมักจากผลแอปเปิ้ล) กับน้ำผึ้งในสัดส่วนเท่ากัน ใส่น้ำอุ่นนิดหน่อย คนให้เข้ากันแล้วนำมาดื่ม จะช่วยให้การดูดซึมของระบบลำไส้และการเผาผลาญของร่างกายทำงานได้ดีตลอดวัน
   16. ผู้ชายอย่าพลาดมะเขือเทศ
สำหรับหนุ่มซ่าที่กำลังเริ่มมีอาการเตะปี๊ปไม่ดังหรือกลัวว่าจะเป็นหมัน มะเขือเทศคือผลไม้ที่คุณจะพลาดไม่ได้ เพราะมะเขือเทศสุกมีสารโคปีนสูงมาก ช่วยให้ต่อมลูกหมากทำงานได้ดี ประสิทธิ์ภาพและสมรรถภาพต่างๆ จึงทำงานได้เป็นปกติ ถ้าผู้ชายทานมะเขือเทศอย่างน้อยอาทิตย์ละ 10 ผลหรือมากกว่านั้น ความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก ก็จะน้อยลง 45 เปอร์เซ็นต์ ที่สำคัญควรจะทานแบบสุกๆ เช่น ทานเป็นน้ำพริกอ่อง สปาเก็ตตี้ เพราะเวลามะเขือเทศถูกความร้อนมันจะปล่อยสารไลโคปีนออกมามากขึ้น
   17. ป้องกันกรดในกระเพาะอาหาร
สำหรับที่ท้องอืดบ่อย ควรลดปริมาณการดื่มน้ำผลไม้เข้มข้นอย่างเช่น มะนาว ส้ม ส้มโอ เกรฟฟรุต หรือน้ำมะเขือเทศสดนั่น เพราะน้ำพวกนี้มีกรดมากทำให้ท้องอืด หรือถ้าเสพติดไปแล้วอดไม่ได้จริงๆ ก็อาจจะทำให้เจือจางลงด้วยการผสมน้ำมากๆ
   18. หลบอัลไซเมอร์ด้วยเกม
ถ้าไม่อยากเป็นอัลไซเมอร์หรือเป็นโรคขี้หลงขี้ลืม สาวๆ ควรจะฝึกสมองด้วยการเล่นเกมที่ต้องใช้สมาธิ เช่น ปริศนาอักษรไขว้ เกมในคอมพิวเตอร์ หรืออาจจะทำกิจกรรมที่ต้องใช้สมาธิอย่างเรียนดนตรี เล่นหมากรุก เป็นต้น เพราะเกมเหล่านี้จะช่วยให้ระบบประสาททำงานเชื่อมต่อกันอย่างมีประสิทธิภาพ

วันพุธที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

วิธีการรักษาอาการปวดข้อมือโดยไม่ใช้ยา

ในกรณีที่ปวดจากเอ็นข้อมืออักเสบ ซึ่งเป็นโรคปวดข้อมือที่พบบ่อยที่สุด

ช่วงปวดอยู่

เลี่ยงกิจกรรมที่ทำแล้วปวด (Respect to the pain)
ใช้ความร้อน เช่น กระเป๋าน้ำร้อนประคบบริเวณที่ปวด 30 นาที วันละ 1-2 ครั้ง
หรือความเย็นช่วย ใช้น้ำแข็งห่อผ้าขนหนู cold pack ประคบที่ปวดนาน 10-15 นาที
บ่อย ๆ ได้ตามต้องการ แต่ควรเว้นช่วงมากกว่า 30 นาที (Knowing by trial)

ช่วงหายปวดแล้ว
          ใช้หนังยาง (หนังยางเส้นใหญ่) รัดปลายนิ้ว แล้วกางนิ้วออก
(ใช้แรงดึงของหนังยางเป็นแรงต้าน) ค่อย ๆ เพิ่มจำนวนหนังยางขึ้นเรื่อย ๆ 
ตามที่ทำได้ โดยไม่เจ็บ จำนวน 20 ครั้ง ทำบ่อยได้ตามต้องการครับ

Tricks :

1. โรคนี้มักหายช้า ประมาณ 3-6 เดือน เพราะฉะนั้นใจเย็น ๆ 
ถ้าปวดมากขึ้นค่อยไปหาหมอขอ X-Ray ถ้าไม่ปวดมากขึ้นก็ใจเย็น ๆ
2. การฉีดยาเข้าปลอกหุ้มเอ็น ทำให้หายเร็วมาก 
แต่มีผลข้างเคียงมากกว่าวิธีธรรมชาติ เลือกใช้ได้ในยามจำเป็นเร่งด่วนครับ

โดย: นอ.(พิเศษ) นพ.ไพศาลจันทรพิทักษ์

อาหารจานด่วนสำหรับคุณแม่ท้อง

           การใช้ชีวิตอยู่ในยุคนี้ อะไร ๆ ก็รีบเร่งไปเสียหมด ไม่เว้นแม้แต่เรื่องอาหารการกิน จะให้แม่ท้องหยิบจับทำเองก็รู้สึกว่าลำบากยากเย็นเหลือเกิน เพราะใช้เวลานาน บางคนเลือกฝากท้องไว้ตามร้านค้านอกบ้าน จะดีกว่าไหมหากมีจานด่วนทำง่ายกินเร็วเหมาะกับแม่ท้อง ให้ทั้งพลังงานและสารอาหารที่เหมาะสมระหว่างตั้งครรภ์



           "จานด่วน" ในที่นี้ไม่ใช่ "ฟาสต์ฟู้ด" อาหารกินด่วนแต่อย่างไร แต่หมายถึงอาหารจานที่มากประโยชน์กับแม่ท้อง ใช้เวลาเตรียมไม่มาก และไม่ยุ่งยากวุ่นวาย สอดคล้องกับแม่ท้องยุคใหม่ คือ วัตถุดิบหาซื้อง่าย ส่วนผสมไม่เยอะ ทำง่าย ใช้เวลาทำน้อย และขั้นตอนการปรุงไม่ยุ่งยาก ที่สำคัญรสชาติยังคงมีความสำคัญ ต้องถูกปากแม่ท้องเหมือนเดิม

         เมนูจานด่วนมากประโยชน์สำหรับแม่ท้องนี้ ใช้เวลาปรุงไม่เกิน 10 นาที และคุณค่าครบถ้วนอย่างที่แม่ท้องจะได้รับ เรียกว่าครบถ้วน ทันใจ และมีประโยชน์แน่นอน

       1. ข้าวต้มเห็ด มีส่วนประกอบของข้าวสวยซ้อมมือ เห็ดฟาง ต้นหอม และผักชี เป็นเมนูที่ย่อยง่าย ไขมันต่ำ ทำให้แม่ท้องได้โปรตีนจากพืชที่ไม่มีคอเลสเตอรอล เหมาะสำหรับแม่ทุกไตรมาส โดยเฉพาะแม่ที่แพ้ท้องและเหม็นกลิ่นเนื้อสัตว์

       2. กริลชีสแซนด์วิช มีส่วนประกอบของขนมปังโฮลวีต 2 แผ่น เชดด้าชีส 1 แผ่น และเนยเล็กน้อย เป็นได้ทั้งมื้อหลักและอาหารว่างที่มีโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และแคลเซียมสูง ช่วยบำรุงกระดูก กินพร้อมกับน้ำผลไม้สด หรือนมอุ่น ๆ ก็ได้ เหมาะสำหรับแม่ทุกไตรมาสและแม่ที่ไม่ชอบดื่มนม

       3. เต้าหู้ผัดบรอกโคลี มีส่วนประกอบของเต้าหู้ญี่ปุ่นทอด บรอกโคลี และเม็ดมะม่วงหิมพานต์ เหมาะสำหรับแม่ท้องทุกไตรมาส เพราะช่วยเพิ่มโปรตีน แคลเซียม เบต้าแคโรทีน เหล็ก โฟเลต และไขมันดี แถมยังช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินได้ดียิ่งขึ้นด้วย

       4. ไข่ตุ๋นนมสดผักโขม มีส่วนประกอบของไข่ขาว 2 ฟอง ไข่แดง 1 ฟอง นมสด1/2 ถ้วย และผักโขมต้มสุกหั่นหยาบ เป็นเมนูที่มีโปรตีนสูง และมีคุณค่าจากธาตุเหล็ก ช่วยในการบำรุงโลหิต

       5. ปลากะพงนึ่งซอสน้ำมันหอย มีส่วนประกอบของเนื้อปลากะพง ต้นหอม และขิง น้ำมันปลาจากเนื้อปลาทะเลช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางสมองให้กับทารกในครรภ์ มีโปรตีนสูง ย่อยง่าย ช่วยขับลม เหมาะสำหรับแม่ทุกไตรมาส โดยเฉพาะแม่ที่น้ำหนักตัวมาก เพราะมีไขมันต่ำ

       6. ยำผลไม้ มีส่วนผสมของแอปเปิลเขียว แอปเปิลแดง องุ่นเขียว องุ่นแดง ส้มโอ มะเขือเทศราชินี เมล็ดทานตะวัน และน้ำยำ เมนูนี้ช่วยเพิ่มเส้นใยอาหาร ลดอาการท้องผูก และอุดมด้วยวิตามินซี เบตาแคโรทีน ลูทีน และไขมันดี เหมาะสำหรับแม่ทุกไตรมาส

       7. ตับหมูผัดพริกหวาน มีส่วนประกอบของตับหมูและพริกหวาน สำหรับเมนูนี้ช่วยเพิ่มธาตุเหล็กให้กับแม่ท้อง ลดอาการโลหิตจาง และได้รับใยอาหาร รวมถึงเบตาแคโรทีน

จานด่วนที่ควรเลี่ยง

จานด่วนที่กินจะมีประโยชน์หรือไม่ อยู่ที่แม่ท้องเลือกเอง มีบางเมนูที่คุณควรหลีกเลี่ยง เพราะนอกจากประโยชน์แทบไม่มีแล้ว ยังทำให้แม่ท้องได้รับส่วนเกินอย่างไม่จำเป็น

       1. ราเม็ง อุดมไปด้วยเกลือ ไขมัน และผงชูรส ใยอาหารน้อย โปรตีนต่ำ จึงไม่เหมาะที่จะเป็นอาหารสำหรับแม่ท้อง

       2. อาหารสำเร็จรูป แม้ว่าจะช่วยแก้หิวได้ทันใจ แต่มีส่วนประกอบของสารกันบูด เกลือ และไขมัน

       3. อาหารแช่แข็ง ยังคงเต็มไปด้วยเกลือและไขมัน โดยเฉพาะที่มีส่วนผสมของอาหารทะเล หากกระบวนการผลิต การจัดเก็บอยู่ในอุณหภูมิที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้ ทำให้อาหารไม่สด คุณค่าอาหารน้อย อาจเน่าเสียง่าย และเป็นโทษต่อร่างกาย

       4. อาหารกระป๋อง ส่วนใหญ่จะมีปริมาณของเกลือและไขมันสูง อาหารกระป๋องที่ผ่านกระบวนการผลิตที่ไม่ถูกต้อง อาจมีการปนเปื้อน

ความต่างระหว่างจานด่วนกับฟาสต์ฟู้ด

           อาหารจานด่วน คืออาหารที่คงคุณค่าของสารอาหารและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ ทำไม่ยาก ขั้นตอนไม่เยอะ ส่วนประกอบก็ไม่มาก ประหยัดเวลาในการทำ และไม่มีส่วนเกินที่ร่างกายไม่ควรได้รับ ขณะที่ฟาสต์ฟู้ด เป็นอาหารที่ใช้วัตถุดิบคุณภาพต่ำ และให้บริการในรูปของหีบห่อที่สามารถนำกลับบ้านได้นั่นเอง

โดย : แววตา เอกชาวนา และ กิ่งกมล กิตติภูมิวงศ์

ผู้ติดตาม